ประเภทของกระเป๋า Crypto

ผมจะขอแยกประเภทของกระเป๋าตามหน้าที่ของมันนะครับ แต่ก่อนอื่นเรามารู้จักความรู้เบื้องต้นกันก่อนนะครับ ทั้งนี้ผมจะอธิบายให้ง่ายต่อการเข้าใจ เพื่อทำให้ทุกคนเห็นภาพได้ง่ายขั้น
Public Key หรือ เรียกว่า Address คือ เลขที่กระเป๋าของเรา เข้าใจง่ายๆเสมือนเป็น เลขบัญชีธนาคาร+สมุดธนาคาร ครับ
Private Key คือ เลขชุดรหัสของเราในการเข้าถึงกระเป๋าของเรา อันนี้สำคัญมาก  สิ่งนี้เสมือนเป็น Public Key + ลายเซ็นต์ของเรา  แสดงว่าใครได้เลขชุดรหัสนี้ไปก็จะสามารถสั่งโอนเงินในกระเป๋าของเราได้ครับ
จากรูปนี้ก็จะเห็นได้ว่า Private Key จะยาวกว่า Public Key มากเลยนะ
Mnemonics หรือ Seed Word คือ คำ 12-24 คำแบบง่าย ที่เป็นของเรา โดย Wallet ของแต่ละเจ้าจะใช้สิ่งนี้ในการสร้าง Private Key ขึ้นมา ซึ่งสามารถสร้างเป็นหลายๆกระเป๋าได้ เช่น Bitcoin , Etherum , Ripple ฯ   สิ่งนี้สำคัญไม่แพ้ Private Key เลยทีเดียวหรือจะเรียกว่าสำคัญกว่าด้วยซ้ำ  เก็บไว้ให้ดีอย่าให้ใครได้ไป
Paper Wallet หรือหมายถึง กระเป๋ากระดาษ มันคือ การที่เราเขียนคำ Private Key และ Seed Word นี้ละ ลงกระดาษเป็นสิ่งสำรองไว้ในกรณีฉุกเฉิน  เช่น คอมพิวเตอร์เสียหายแล้วเครื่องที่ลง Private Key นั้นพังไปด้วยจำเป็นต้องนำมาลงใหม่  โดยปกติ Paper Wallet จะเก็บไว้ในตู้เซพส่วนตัวเอง
ภาพนี้คือตัวอย่างของการเขียน Seed Words ลงกระดาษนะครับ
ก็จบความรู้เบื้องต้นกันไปแล้ว ที่นี้เรามาดูการแบ่งประเภทของ Wallet และดูข้อดี ข้อเสียกันไปเลย
Exchange Wallet คือ การเก็บเหรียญของเราไว้ใน Exchange ต่างๆ เช่น Bx.in.th , Binance.com , Kucoin.com
ข้อดี – ความยุ่งยากในการจดจำน้อยลงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้บริการ  สามารถล็อกอินเข้ามาจัดการซื้อขายได้ง่าย
ข้อเสีย – ถ้าวันใดวันหนึ่งเวปล่มหรือเวปหนีหายไป แสดงว่าเงินคุณก็จะหายไปกับเค้าด้วย
Hot Wallet คือ การที่เรามี Wallet เป็นของตัวเอง เช่น การสร้างกระเป๋าบน Metamask , O3 ,Owallet
ข้อดี – เราสามารถโอนเหรียญไปมาได้อย่างสะดวกผ่านเวปบราวเซอร์หรือโปรแกรมต่างๆได้ โดยไม่ต้องพึ่งพา Exchange
ข้อเสีย – เราต้องเป็นผู้ดูแล Private Key ของเราเองถ้าทำหายไปโดยไม่มีสำรอง หมายถึงการหายไปตลอดกาล
Cold Wallet หรือ Cold Storage คือ กระเป๋ารูปแบบ Hardware Wallet ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์ลักษณะคล้ายทัมไดฟ์ สิ่งนี้จะเป็นการเก็บ Seed Word ของเราในเครื่อง โดยจะไม่แสดงหรือส่งค่า Private Key ออกมาทำให้ปลอดภัยมากที่สุดในการเก็บข้อมูล  การเปิดใช้งานก็จำเป็นต้องใส่ Pin Code เป็นเลข 6-8 หลักเพื่อเริ่มใช้งานถ้าใส่ผิด 3-5 ครั้ง ตัวเครื่องก็จะลบข้อมูลทิ้งให้เราคีย์ค่า Seed Word ใหม่ ณ ปัจจุบัน มีผู้ให้บริการยี่ห้อดัง 2 เจ้า คือ 1.Ledger   2.Trezor
ข้อดี – มีความปลอดภัยในการเก็บรักษา Private Key สูง การจะโอนเหรียญออกไปได้ จำเป็นต้องมีทัมไดฟ์นี้และ Pin Code
ข้อเสีย – ไม่สะดวกในการใช้โอนเหรียญไปมาเพราะโดยปกติ Hardware Wallet จะเก็บรักษาไว้ที่บ้าน
สุดท้ายนี้ แอดขอแนะนำให้คนที่อ่านบทความนี้ไปแล้ว จะไปสร้างกระเป๋าส่วนตัวทั้ง Hot Wallet หรือ Cold Wallet เพราะไม่ควรใว้ใจฝากทรัพย์สินที่เรามีทั้งหมดกับ Exchange ดังคำที่ว่า “ถ้าไม่มี Private Key แสดงว่านั้นไม่ใช่กระเป๋าของเรา”